หลายคนคงคุ้นหู หรือคงพอจะรู้จักเครื่องสำอาง Counter Brand และ Hi-end กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่บางคนยังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าคืออะไร มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะในบรรดาเครื่องสำอางที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็มีมากมายหลายแบรนด์ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ให้เหมาะสมกับผิวพรรณที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็อาจจะมีเครื่องสำอางทั้งสองชนิด ปะปนกันอยู่อย่างแน่นอน มาไขข้อข้องใจกันกันว่าคืออะไรกันแน่

ความแตกต่างระหว่าง Hi-end กับ Counter Brand
เครื่องสำอาง Hi-end โดยส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีผู้ใช้แพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งในแต่ละแบรนด์จะเน้นการผลิตสินค้าแฟชั่นชนิดต่าง ๆ มาก่อน
ที่เราเรียกกันติดปากว่าสินค้า Brandname เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า รวมถึงน้ำหอม เป็นต้น จากนั้นจึงคิดค้นพัฒนาต่อยอดสินค้าประเภทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ผลิตออกมาแล้วมีความสวยงาม ดูดีมีระดับ โดยการเน้นใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
อีกทั้งยังมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความหรูหรา ทันสมัยอีกด้วย ตัวอย่างแบรนด์ Hi-end
เช่น Gucci, Dior, Chanel, Yves Saint Laurent, Burberry, Givenchy, Giorgio Armani, Tomford, Marc Jacobs และ Givenchy เป็นต้น นอกจากนี้เค้าเตอร์แบรนด์ที่มีราคาสูง ๆ อย่าง Estee Lauder, La Mer ก็ยังถือว่าเป็นสินค้าแบบ Hi-end เช่นกัน

ส่วนเครื่องสำอาง Counter Brand นั้นเป็นสินค้าที่เน้นส่วนผสมของครีมให้มีความเข้มข้น เลือกใช้วัสดุดิบต่าง ๆ ที่มีราคาสูง บางแบรนด์นำมาจากสถานที่ห่างไกล บรรจุภัณฑ์มักออกแบบมาอย่างหรูหรา
เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจถึงคุณภาพของสินค้า ซึ่งเพื่อให้มีการรู้จักและผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลายจึงมีการใช้พื้นที่ของห้างสรรพสินค้าเพื่อวางจำหน่ายเครื่องสำอางของแบรนด์
โดยเฉพาะ มี Beauty Advisor หรือ BA คอยให้บริการแนะนำลูกค้าประจำในแต่ละจุดด้วย ซึ่งเค้าเตอร์แบรนด์มีหลายยี่ห้อทั้งทางฝั่งอเมริกาและแถบยุโรป และเอเชีย
เช่น Lancom, La Mer, Estee Lauder, MAC, Bobbo BBrown, NARS, Laura Mercier, Kanebo, Shiseido, Shu uemura, 3CE, Three, Sulwhasoo, Laneige เป็นต้น

เครื่องสำอาง Drug Store คือ
นอกจากเครื่องสำอาง Counter Brand และ Hi-end แล้ว ยังมีประเภท Drug Store ด้วย ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้ตามร้านขายยาทั่วไป ในอดีตเราจะคุ้นหน้าคุ้นตากับแบรนด์ Boots หรือ Watson เป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันมีร้านประเภทนี้มากมายหลายร้านเกิดขึ้น โดยเฉพาะที่มาจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ
เช่น Tsuruha และ Matsumoto Kiyoshi, Maybelline, L’Oreal, Revlon, Catrice, Wet N’ Wild, Essence, Za, Canmake, Kate, Majolica Majorca, Cezanne เป็นต้น
โดยร้านเหล่านี้จะมีเครื่องสำอางที่ราคาไม่สูงมากนัก จะมีพนักงานและเภสัชภรอยู่ประจำภายในร้านเพื่อคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพทั่วไป และผิวพรรณ นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ทั่วไปตามจุดต่าง ๆ หาได้ง่าย มีราคาถูก ตั้งแต่หลักสิบบาทไปจนถึงหลักพันบาท อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นต่าง ๆ เช่น การลดราคา, ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น จึงทำให้เกิดความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มบุคคลทั่วไป
#เคาน์เตอร์แบรนด์ #ของมันต้องมี #เครื่องสำอาง